เทศน์พระ

จิตเป็นสากล

๒ ก.ค. ๒๕๕๓

 

จิตเป็นสากล
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : หลวงพ่อครับ คือมีพระใหม่ฝากมาถามนะฮะ ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แล้วก็เวลาเกิดจะรู้ได้อย่างไรว่าจะเกิดเป็นผู้ชายหรือเป็นผู้หญิงครับ

หลวงพ่อ : ความสงสัย สงสัยไปหมดเห็นไหม เรามีความสงสัยไปหมด เวลาคนที่ไม่เชื่อในศาสนา เขาบอกคนที่เชื่อศาสนานี่เป็นคนโง่ เป็นคนตกยุค เป็นคนล้าสมัย สิ่งนี้พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าคนเชื่อในศาสนา พอเชื่อในศาสนา เพราะเข้าใจถึงว่า กายกับใจ คนเรามันจะคิดได้ก็ต้องมีดวงใจ ที่นี้เวลาดวงใจ เถียงกันร้อยแปดพันเก้านะ จิตหนึ่งดวง จิตกี่ดวงก็ว่ากันไป

นี่พูดถึงเวลาถ้าคนเชื่อ เพราะเชื่อแล้วมันยังไม่มีความจริง เชื่อแล้วยังไม่เข้าใจ ความเชื่อ ศรัทธาเห็นไหม ถ้าพูดถึงในพุทธศาสนา ศรัทธาเป็นการดึงขบวนเข้ามาก็ดึงตัวเราเข้ามา คำว่าดึงตัวเราเข้ามาก็ดึงตัวเราเข้าหาวัดไง เพราะเรามีศรัทธา

ศรัทธาถ้าพูดถึงทางโลกนะ ศรัทธาเป็นหัวรถจักร ในพุทธศาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ศรัทธาเป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์” ถ้าไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อซะอย่างหนึ่งจะไม่มีคนมาสนใจพุทธศาสนาเลย แต่เพราะมีศรัทธาความเชื่อเข้ามา เชื่อแล้วก็สงสัยอย่างนี้ เชื่อแล้วก็สงสัยว่าเป็นหญิงเป็นชาย

เวลาจิตเราสงบเข้าไปนะ ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เวลาทำสมาธิเข้าไปจิตเป็นสมาธินี่ มันจะมีเพศหญิงเพศชายไหม สมาธิของผู้หญิงกับสมาธิของผู้ชายมันมันแตกต่างกันตรงไหน.. ไม่มี ! เวลามันเป็นมรรคผลนะ เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามี ไม่มีหญิงไม่มีชาย

ดูสิ พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล นางอุบลวรรณา ภิกษุณีเป็นพระอรหันต์เยอะแยะเลย แล้วภิกษุเป็นพระอรหันต์ เอตทัคคะก็มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทีนี้เวลาเป็นผู้หญิงผู้ชาย เวลาแบ่งออกมาแล้วนี่เราสงสัยว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย ถ้าเป็นหญิงหรือเป็นชายมันก็เป็นโดยเวรโดยกรรมใช่ไหม เพราะเกิดเป็นหญิงก็เป็นหญิง เกิดเป็นชายก็เป็นชาย

แต่เกิดเป็นหญิงเป็นชายมันแบ่งแยกโดยสมมุติ คำว่า “สมมุติ” สมมุติคืออะไร สมมุติคือชีวิตจริงเรานี่แหละ เพราะสมมุติเกิดมาเป็นหญิงหรือเป็นชาย พอเป็นหญิงเป็นชาย ทำไมดูในปัจจุบันนี้คนเป็นหญิงเป็นชาย แล้วทำไมจิตใจเขาไม่พอใจกับเพศของเขาล่ะ ผู้หญิงอยากเป็นผู้ชาย ผู้ชายอยากเป็นผู้หญิงเห็นไหม เยอะแยะไปในสังคม

เวลาในสังคมเขาเป็นผู้ชายแต่เขาอยากเป็นผู้หญิง บางคนเป็นผู้หญิงก็อยากเป็นผู้ชาย จิตใจของเขา จิตใจของแรงปรารถนา ถ้าความปรารถนา ความต้องการของใจ จริตนิสัย เราเห็นกันได้ชัดๆ เลย เวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน เราอยากปฏิบัติ เราอยากได้มรรคได้ผล เราก็ต้องการให้ถึงเป้าหมาย มรรคผลนิพพานคือเป้าหมายนะ

แต่วิธีการเวลาที่จะเข้าไปน่ะ วิธีการเข้าไปคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เราก็ไปสงสัยกัน สิ่งนี้ๆ แต่พอเข้าไปถึงเป้าหมายแล้ว จิตใจก็เหมือนกัน จิตใจที่ว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย พอเขาเป็นหญิงหรือเป็นชายแล้วเขายังไม่พอใจในเพศของเขา เพราะอะไร เพราะเขามีแรงปรารถนาอยากเป็นเพศตรงข้าม พออยากเป็นเพศตรงข้ามนะ.. ในสมัยพุทธกาลนะ บัณเฑาะก์บวชไม่ได้ มันมีมาตลอดนะ เพราะแรงปรารถนานี้ไง

“จิตรู้ได้อย่างไรว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย”

เป็นหญิงหรือเป็นชายน่ะ เพราะจิตมันไม่มีหญิงและไม่มีชาย แต่เวลาเราเกิดมาแล้วเป็นผู้หญิงก็เป็นผู้หญิงเห็นไหม พระอานนท์นี่เป็นผู้หญิงมาก่อนนะ ในพุทธประวัติพระอานนท์น่ะเป็นผู้หญิง แต่เพราะด้วยแรงปรารถนาอยากเป็นผู้ชาย ๕๐๐ ชาติ เปลี่ยนมาเรื่อยๆ จนพระอานนท์เป็นผู้ชาย

นี่ก็เหมือนกัน แต่ที่นี้บอกว่า เราไปแบ่งแยกว่าเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย คือว่าเป็นหญิงหรือเป็นชายโดยสมมุติ สมมุติว่าเกิดมาแล้วเป็นหญิงหรือเป็นชาย พอเป็นหญิงเป็นชายขึ้นมาแล้ว คำว่า “เป็นหญิงและเป็นชาย” พอแบ่งประเภทขึ้นมาแล้ว เรื่องสรีระ เรื่องต่างๆ น่ะมันแตกต่างกันไป

นี่พอเป็นภาษาโลก ประชาธิปไตย สิทธิเสมอภาค เป็นหญิงต้องทัดเทียมชาย ผู้ชายไม่มีมดลูกนะ.. ผู้ชายออกลูกไม่ได้.. เพราะฉะนั้นผู้หญิงมีหน้าที่ของผู้หญิงใช่ไหม หน้าที่ของผู้ชายใช่ไหม แต่พวกเราคิดกันเอง คิดกันแบบวิทยาศาสตร์ ต้องคิดให้เสมอภาค ไม่มีทาง ! มันเสมอภาคไม่ได้หรอก

เสมอภาคคือความรู้สึกสิ เสมอภาคเวลาเขาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วยกัน ผู้หญิงเป็นพระอรหันต์ ผู้ชายเป็นพระอรหันต์ นั่นเสมอภาค เสมอภาคตรงนั้น เสมอภาคด้วยหัวใจ

เสมอภาค ภราดรภาพ คือความเสมอภาคของธรรม ถ้าเสมอภาคทางโลกไม่มี ทางโลกมีสูงมีต่ำมาตลอด แล้วเราจะก็คิดว่าเราเป็นประชาธิปไตย ธรรมะ ธรรมาธิปไตย ต้องมีความเสมอภาค

เสมอภาคก็ภาวนาสิ ! เสมอภาคก็กำหนดหัวใจสิ พุทโธขึ้นมาน่ะ ถ้าจิตมันเป็นสมาธินี่เสมอภาค พอจิตเป็นสมาธิน่ะ มันเป็นเสมอภาคโดยเป็นสากลเลยนะ ความรู้สึกเป็นสากลน่ะ ความรู้สึกที่สงบเป็นสากล นั้นน่ะเสมอภาค แล้วจะไปเรียกร้องเอามาจากใคร ไปเรียกร้องจากข้างนอกมันไม่ได้ เพราะอะไร นิ้วมือคนไม่เท่ากัน ความเกิดของจิตนี้ไม่เท่ากัน แล้วแต่เวรแต่กรรมนะ

ทุกคนอยากจะเกิดกับพ่อแม่ที่มีฐานะทั้งนั้นน่ะ แต่พวกที่มีพ่อแม่มีฐานะสังเกตได้ว่าคนรวยน่ะลูกน้อย คนจนน่ะลูกเป็นลูกเป็ดเลยน่ะ โห..เป็ดมันเดินนำหน้าลูกมันเป็นแถวเลย มันเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะจิตของคนน่ะ การทำบาปอกุศลมันมากกว่าการทำบุญกุศล

แม้แต่ได้เกิดเป็นมนุษย์นี่ก็เป็นอริยทรัพย์แล้วนะ ถ้าไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์นะ มันจะไปเกิดเป็นสัตว์ เป็นสัตว์นรกอเวจี เพราะจิตมันไม่มีเว้นวรรค จิตมันต้องเกิดตลอด ธรรมชาติความรู้สึก เราไปปิดกั้นความรู้สึกได้ไหม บอกความรู้สึกนี้ไม่มี ความรู้สึกว่าเกิดเป็นมนุษย์ก็หนึ่งชีวิต พอความรู้สึกนี้เคลื่อนจากออกไป พอจิตวิญญาณนี้เคลื่อนจากออกไป ก็ไปเกิดในสถานะหนึ่ง เพราะความรู้สึกนี้ไม่มีการเว้นวรรค

นี่ไงสิ่งที่ไปเกิดเว้นวรรคนี่มันเป็นเรื่องของจิต ถ้าเรื่องของจิตมันเป็นสถานะของเวรของกรรม พอมันเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้ว พอมันเกิดขึ้นมา เวลาเสวยภพนะ เวลาผู้ที่ทำบุญทำกุศล พอไปเกิดเป็นเทวดาเขาไม่ชอบกัน เขาไม่ต้องการ ไม่ต้องการเพราะอะไร

เพราะไปเกิดเป็นเทวดา อายุของเทวดาน่ะ ๙ ล้านปี ๑๐๐ ปีของเขาเท่ากับว่า ๑ วัน แล้วใน ๑ วันของเขาเท่ากับอายุของเรา ๑ อายุขัย เทวดา ๙ ล้านปี แล้ว ๙ ล้านปีคิดดูสิ ศาสนาพุทธ ๕,๐๐๐ พันปี ๕,๐๐๐ พันปี ! คิดดูสิ ๕,๐๐๐ พันปี กับ ๙ ล้านปีเทียบกันได้ไหม แล้วเอ็งจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกทีมันจะเจออะไร เอ็งก็เจอยุคหินไง เอ็งไปเจอยุคใหม่ เพราะโลกมันต้องเปลี่ยนแปลงนะ โลกมันก็ต้องปรับสภาพ

พระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้ข้างหน้า แต่ท่านไม่มาตรัสรู้ในสภาวะโลกแบบนี้หรอก สภาวะโลกแบบนี้ เวลา ๕,๐๐๐ พันปีแล้วโลกจะเปลี่ยนแปลง พอเปลี่ยนแปลงมันก็ปรับสภาพของเขา ดูสิ สมัยโบราณของเรา ดูสภาพของป่าเขาสิ นั้นน่ะพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้ที่นั้น พอมาตรัสรู้ก็ตรัสรู้สัจธรรมนั้น

นี่พูดถึงเวรถึงกรรม เวลาเกิดมาแล้วมันเป็นหญิงหรือเป็นชาย พอมาเป็นหญิงหรือเป็นชายมันก็จริตนิสัยตรงนั้นน่ะ นี่พูดถึงความเชื่อนะ เป็นหญิงหรือเป็นชายนี่เราพูดถึงผลของวัฏฏะ เวลาการเกิดการตายผลของวัฏฏะ เราเกิดมาดูสิ เราเกิดมาเป็นผู้ชายแล้วมีสิทธิด้วย คือมีสิทธิได้บวช ดูสิ เวลาได้บวชขึ้นมา พ่อแม่ได้บุญจากชายผ้าเหลืองเพราะอะไร เพราะลูกบวช นี่พูดถึงบุญนะ นี่แยกให้ดูว่าเวลาบวชขึ้นมา ในพระไตรปิฎกบอกว่า เพราะลูกบวชน่ะ พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป

ลูกบวชนี่ได้บุญมากนะ ได้บุญมากได้บุญตรงไหน ก็ไม่ได้ไปทำบุญแล้วได้บุญตรงไหน แล้วเวลาทำบุญกุศล ดูสิ เสียสละทำทานเป็นล้านๆ ๑๐ ล้านๆ น่ะ ลูกศิษย์หลวงตานะเซ็นเช็คที ๓๐-๔๐ ล้านนะ เดี๋ยวจะว่าทำบุญเป็นล้านๆ จะไม่มี แต่สิ่งนั้นมันเป็นความเชื่อ เป็นศรัทธาของเขา เรามีมากมีน้อยเราก็ทำประสาของเรา

แต่เวลาลูกมาบวช ๑๖ กัป เพราะอะไร ๑๖ กัปเพราะเลือดเนื้อเชื้อไขไง นี่ลูกบวชเท่ากับพ่อแม่บวช ไข่ฟองนั้น กับสเปิมร์กับอสุจินั้นปฏิสนธิในไข่ ปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิเข้าเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ พอเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์เกิดขึ้นมาฟักตัว ๙ เดือน กินเลือดเนื้อเชื้อไข กินเลือดนะ กินน้ำนมน้ำเลือดอยู่ในครรภ์ เวลาคลอดออกมา ก็กินนมก็กินเลือดของพ่อของแม่ กินนมจากหัวอก แล้วมันเติบโตขึ้นมา แล้วเอาสิ่งนี้มาค้ำศาสนา ดูสิ เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ถ้าพระภิกษุขาดจากพระ ๕ องค์ ๑๐ องค์ ไม่มีพระบวชไม่ได้

ในสมัยลังกาเป็นเมืองขึ้น มีแต่เณรอยู่เท่านั้นน่ะ ต้องเอาสยามวงศ์ไปบวชพระที่ลังกาขึ้นมา นี่ไง สิ่งนี้มาค้ำศาสนา มันสืบทอดชีวิต สืบทอดอายุขัยเห็นไหม เหมือนยารักษาโรค มีโรคภัยไข้เจ็บ ถ้ามียารักษาโรคมันถึงจะหายได้ ถ้าไม่มียา ไม่มีการรักษาโรคสิ่งนั้นจะหายได้อย่างไร

ธรรมะรักษาหัวใจของคน แล้วผู้ที่รักษาธรรมะล่ะ ภิกษุไง ภิกษุรักษาธรรมะ เวลามาบวช ค้ำศาสนาก็เอาเลือดเนื้อเชื้อไขมาค้ำศาสนาให้อายุของศาสนาสืบต่อไป พ่อแม่มาค้ำศาสนา ค้ำศาสนาก็เหมือนรักษาธรรมะไว้ให้กับสังคมโลก ได้บุญตรงนี้ไง !

ถ้าได้บุญตรงนี้ สิ่งที่เราบวชมา เราได้บุญกุศล บุญกุศลเกิดจากการกระทำขึ้นมาที่เราได้มาบวชเป็นพระแล้ว แล้วบวชเป็นพระแล้วได้อะไรต่อไปล่ะ.. ได้อะไรต่อไป ก็ได้ทุกข์ไง ได้อดข้าวไง ได้ความลำบากไง

สิทธิหน้าที่คือสถานะ สถานะของพระ พอสถานะของพระแล้วด้วยความเชื่อมั่นของเรา ด้วยความศรัทธาของเรา เราศรัทธาแล้วก็บวชเป็นพระ พอได้บวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อไป

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอหิภิกขุ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ พอสิ้นกิเลสแล้ว “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด”

แต่เวลาพวกที่ฟังเทศน์แล้วศรัทธานะ “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เพื่อปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ”

นี่ก็เหมือนกัน พวกเราบวชขึ้นมาบวชด้วยญัตติจตุตถกรรม ด้วยสงฆ์ยกเข้าหมู่ เราก็บวชมาเป็นพระ เป็นพระนี่พ่อแม่ได้บุญ บุญคืออะไร บุญคือสิ่งที่เป็นอามิส คือสิ่งที่เป็นการกระทำ มันเกิดบุญ เกิดบุญคือจิตใจมันได้กระทำ เทวดา อินทร์ พรหม อนุโมทนาสาธุการนะ

เวลาศาสนารุ่งเรือง ดูสิ เวลาเขาสร้างวัดกัน เขาเอาพระมาตั้งไว้ในโบสถ์ เอายักษ์มาต่างๆ นั้นเพื่ออะไร เพื่อต้องการให้รักษา หน้าโบสถ์หน้าวิหารเขาจะมีรูปเคารพต่างๆ เพื่อปกป้องศาสนา พวกนี้เขาปกป้องศาสนาเพราะอะไร อย่างเราไง ถ้าเราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ไม่เห็นเรื่องความสำคัญของยา ที่นี้ เทวดา อินทร์ พรหม เขาเข้าใจของเขา ถ้าใครศึกษาธรรมขึ้นมาแล้วปฏิบัติธรรมขึ้นมา พอจิตใจมันเป็นธรรมขึ้นมาแล้วเทศนาว่าการ เขาได้ประโยชน์ตรงนี้

เวลาทางโลกเขาฟังเพลงแล้วเขามีความชื่นใจ ฟังเพลงแล้ว แหม.. เขาอินนะ อู้ฮู...น้ำหูน้ำตาไหลเลย นั่นเขาฟังเพลงนะ แต่เวลาเทศนาว่าการ เทวดาเขาได้ยินของเขา พูดถึงธรรมนะ เรื่องอริยสัจ.. ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคต่างๆ เขาได้ยินของเขา เขามีความสุขของเขา เวลาเทศนาว่าการ ไม่ใช่ฟังเฉพาะเรา จิตวิญญาณก็มี เพราะในโลกนี้มันไม่มีที่ว่างเลย แต่มันคนละมิติที่เรามองไม่เห็น ถ้าเราทำคุณงามความดี เขาเห็นกับเรานะ เขาส่งเสริมเรานะ เขาชื่นใจไปกับเรา

ฉะนั้นเราบวชเป็นพระแล้วพ่อแม่ได้ ๑๖ กัป แล้วทำอะไรต่อไปล่ะ เราบวชเป็นพระแล้ว “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เพื่อปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ” นี่เหมือนกัน พอเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว พอจิตมันสงบขึ้นมา นั่นน่ะมันจะรู้เลยว่าจิตนี้เป็นหญิงหรือเป็นชาย ความรู้สึกมันเป็นอย่างไร แล้วทำไมถึงเป็นหญิง ทำไมถึงเป็นชาย เป็นหญิงหรือเป็นชายนี่มันเกิดด้วยสถานะกรรม แต่มันเปลี่ยนแปลงได้ อย่างเช่นพระอานนท์ยังเปลี่ยนแปลงจากผู้หญิงเป็นผู้ชายได้

นี่ก็เหมือนกัน จิตที่มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ชำระล้างมันได้ แล้วชำระล้างมันด้วยอะไรล่ะ ชำระล้างมันด้วยพุทธศาสนา ชำระล้างด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วศีล สมาธิ ปัญญามาจากไหน สมาธิในหนังสือใช่ไหม มันก็คือสมาธิ ปัญญาเหรอ.. ปัญญาก็กดจากคอมพิวเตอร์ก็ได้ คอมพิวเตอร์เดี๋ยวนี้ปัญญามันดีกว่าเรา สร้างสถานะอะไรก็ได้ ไอ้อย่างนั้นมันเป็นสถานะของโลกียะ สถานะของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทำให้ชีวิตนี้สะดวกสบายขึ้น แต่วิทยาศาสตร์แก้กิเลสไม่ได้

คนสมัยโบราณเขาต้องปากกัดตีนถีบนะ สภาพแวดล้อมก็ดี จิตใจคนก็ดีงาม ทุกอย่างดีงามไปหมดเลย แต่คนมองว่าเป็นสถานะของคนมีความทุกข์ เพราะมันไม่มีความสะดวกสบาย เดี๋ยวนี้สะดวกสบายหมดนะ เวลาเหลือเฟือเลย แล้วก็นั่งเป็นโรคซึมเศร้ากัน ไปหาหมอนะ คลายเครียด.. ตอนนี้ยารักษาโรคจิตขายดีมาก

ไหนว่ามีความสุขไง ชีวิตคนมันเร่งรีบ ทุกวันมันเครียดไปหมด นี่พูดถึงว่าสถานะ ความสุขของทางโลกที่เขามองกัน ทางวิทยาศาสตร์ไง เพราะวิทยาศาสตร์ทำให้มันมีความเจริญรุ่งเรือง ทำให้สะดวกสบาย สะดวกสบายมันพิสูจน์ไม่มีวันจบหรอก นี่ผลของวัฏฏะ

ผลของวัฏฏะคือการเกิดและการตาย คือเรื่องของโลก แต่ผลของธรรมล่ะ ผลของหัวใจล่ะ ถ้าผลของใจเราปฏิบัติมาแล้ว “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เพื่อปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์” ที่นี้เราบวชมาแล้ว เราปฏิบัติไปเราจะเห็นของเราเองถ้าจิตมันสงบนะ

แล้วพอคนมันจิตสงบแล้ว จิตถึงที่ฐีติจิต มันจะรื้อค้นข้อมูลของมันนะ ถ้าเห็นอดีตชาติเห็นอะไรต่างๆ เดี๋ยวจะรู้ว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย ใครเป็นหญิงใครเป็นชายมา ใครปฏิบัติมาอย่างไร มันเปลี่ยนแปลงได้ เพราะมันทิฐิ ทิฐิในพระพุทธศาสนา ทิฐิว่าในโลกนี้ตายแล้วศูนย์ ไม่มีสิ่งใดๆ เลย อีกทิฐิหนึ่งก็ว่าตายแล้วต้องเกิด แต่ผิดทั้งคู่ ผิดทั้งคู่เพราะอะไร

เพราะว่ามนุษย์ต้องเกิดเป็นมนุษย์ไง ผู้หญิงต้องเกิดเป็นผู้หญิงตลอดไป ผู้ชายต้องเกิดเป็นผู้ชายตลอดไป สัตว์ต้องเกิดเป็นสัตว์ตลอดไป ไม่ใช่ ! ไม่ใช่ ! เกิด.. เกิดจริงๆ แต่เวียนตายเวียนเกิดไปตามเวรไปตามกรรม

เพราะท้าวโฆสกเคยเกิดเป็นหมา แต่เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้า.. มีคนนิมนต์ไปฉันข้าว แล้วมันตามไปตามมาด้วยการเห่าหอน เพราะไปคาบจีวรมาฉันข้าวตลอด ถึงเวลาออกพรรษาแล้ว พระปัจเจกต้องออกธุดงค์ ด้วยความรักความผูกพันนะมันหอนจนตาย พอตายขึ้นมาน่ะแล้วไปเกิดเป็นเทวดา หมา ! ท้าวโฆสกเคยเกิดเป็นสุนัข เคยเกิดเป็นหมา แล้วไปเกิดเป็นเทวดาชื่อท้าวโฆสกที่มีเสียงเพราะที่สุด นี่การเวียนตายเวียนเกิด จากหมาไปเกิดเป็นเทวดา ก็เวียนไป

นี่ก็เหมือนกัน ผลของวัฏฏะ ผลของการเกิดและการตาย ธรรมะมาแก้ที่นี่ เราอย่านอนใจ เรานอนใจกันเกินไปนะ ถ้านอนใจกันเกินไป อย่างว่านี่ บวชแล้วพ่อแม่ได้ ๑๖ กัป โอ๋..ได้บุญแล้ว บวชให้พ่อแม่ พ่อแม่ได้บุญแล้ว จบ ! นี่บวชให้พ่อแม่ได้บุญ ได้บุญเพราะอะไร เพราะเรามีบุญกุศล เราเกิดเป็นชาวพุทธ พบพระพุทธศาสนา

เกิดเป็นชาวพุทธนะ ได้พบพระพุทธศาสนา คนที่เกิดนอกลัทธิต่างๆ ที่เขาไม่เชื่อในเรื่องศาสนาเขาก็ไม่ได้ทำอย่างนี้ แต่เขาก็ทำความดีของเขา ว่าเขาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ตามลัทธิความเชื่อต่างๆ เขาทำตามความเชื่อของเขา แต่ถ้าความเชื่อของเรา เพราะความเชื่อของเราคือศรัทธา แล้วเกิดในพุทธศาสนา เป็นประเพณีวัฒนธรรม

เพราะสมัยตั้งแต่พุทธกาลมาแล้วก็มีการบวช การบวชเพื่อภิกษุสงฆ์ บวชเพื่อศึกษาธรรมะ เพื่อให้คนมีวัฒนธรรมประเพณี ถ้ามีวัฒนธรรมประเพณีพอบวชแล้วเป็นคนสุก เป็นคนสุกเพราะได้ศึกษา

ศึกษาเห็นไหม ดูสิ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนวโกวาท เคารพคารวะทิศ ไปเห็นพวกพราหมณ์ พราหมณ์เขากราบทุกวันเลย พระอาทิตย์ขึ้นเขาก็กราบแล้วกราบอีก พระพุทธเจ้าไปเราก็คารวะทิศเหมือนกัน แต่ทิศของเราไม่เป็นอย่างนี้นะ ทิศของเรา ทิศข้างบนเป็นพ่อแม่ ทิศซ้ายทิศขวาเป็นเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง เราบริหารทิศเห็นไหม

นี่ไง สิ่งต่างๆ ที่มาศึกษานวโกวาท ศึกษาเพื่อให้เราได้มีปัญญาไง พอเราศึกษาธรรมะขึ้นไป ธรรมะนี้ย้อนกลับมาที่เรานะ เราจะมีฐานะดีสูงส่งขนาดไหน แต่ถ้าความสุขความทุกข์ในหัวใจเรา มันเป็นคุณค่าความจริงของเรา ศาสนาพุทธจะสอนที่นี่ สอนให้เราเป็นคนสุก เป็นทิด เป็นบัณฑิต เป็นผู้รู้ รู้ด้วยการดำรงชีวิตของโลกๆ นี่ไง แต่เราจะไม่รู้ถึงจิตใจเราเลย

เห็นไหมเรายังสงสัยว่าผู้หญิงผู้ชายอย่างไร จิตนี้เป็นหญิงหรือเป็นชาย จิตนี้แบ่งแยกอย่างไร ไม่มีหรอก ! จิตก็คือจิต ปฏิสนธิขึ้นมาแล้วถึงเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้วมันก็ไปตามสภาวะเป็นหญิงหรือเป็นชาย สภาวะอย่างนั้น แล้วเราแก้ไขความจริงของเรา เราต้องย้อนกลับมาที่นี่

ถ้าจะแก้ไขความจริงของเรา พุทธศาสนาสอนศีล สมาธิ ปัญญา ทางโลกเขา ทาน ศีล ภาวนา เขามีทานของเขา เขามีศีลของเขา เขาภาวนาของเขา ของเรานะ ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะศีลของเรามีอยู่แล้ว

ดูสิ พระกรรมฐานเวลาเทศน์ไม่ใช่เทศน์เรื่องศีล.. เรื่องศีลเรื่องทานไม่ต้องเทศน์ เพราะชาวพุทธเรามีอยู่แล้วไง โดยความเป็นจริงวัฒนธรรมของเรา ชาวพุทธเป็นผู้เสียสละ ชาวพุทธเป็นผู้เห็นผลเห็นประโยชน์กับสังคมใช่ไหม ถ้าสังคมดี สังคมมีความสุข เพราะทุกคนอยากเสียสละ

เราเกิดไม่ทันนะ ถ้าเราเกิดทันน่ะ สมัยโบราณเขาไม่มีตลาดนะ พุทธศาสนาเขาไม่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน ไม่มีเลย เขามีแต่การให้ แล้วพอโลกเจริญขึ้นมา เขาต้องมีเงินมีทองขึ้นมา ซื้อขายแลกเปลี่ยนมา พอมีซื้อขายแลกเปลี่ยนต่างๆ ขึ้นมา มันเป็นเรื่องโลกแล้ว เห็นไหมสิ่งที่เป็นเรื่องโลก การซื้อขายแลกเปลี่ยนต่างๆ มันก็ต้องมีศีล ฉะนั้นในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ในวัฒนธรรมประเพณีมีมาอยู่แล้ว แต่มันไขว้เขวไปเพราะโลกเป็นใหญ่

แต่ตอนนี้ถ้าเรามาจะเข้าเรื่องศาสนา เราต้องเอาธรรมเป็นใหญ่ ถ้าธรรมเป็นใหญ่ ธรรมมันคืออะไร ธรรมะคืออะไร เห็นไหมเขาบอกธรรมะเป็นธรรมชาติ โอ๊ย..ถ้าเป็นธรรมชาติ เราไม่ต้องทำอะไร กูก็นอนอยู่นี่ เพราะกูเกิดตายก็ธรรมชาติน่ะ ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. ธรรมชาติไม่ทำอะไรเลยนะ มันเป็นเอง.. มันเป็นเอง.. มันมาเอง มันก็เหมือนกับเวรกรรมมันโผล่มาจากช่องคลอด นั้นน่ะมันมาเอง มันจะมาเองได้อย่างไร เวลาคนรวยๆ คนอยากไปเกิดทั้งนั้นน่ะ นี่คนเราเกิดจากเวรจากกรรม

กรรมคือการกระทำ แรงขับในอวิชชา แรงขับนี่ปฏิสนธิ ดูสิคนเป็นหมัน ดูสิ พวกที่เป็นหมันเขาไม่มีลูก ทำไมเขาไม่มีลูกล่ะ แล้วทำไมจิตเราปฏิสนธิในไข่ล่ะ มันเป็นเวรเป็นกรรมเพราะคนมีเวรมีกรรม แต่กรรมดีกรรมชั่ว ถ้ากรรมดีมันก็ขับมาประสาเรา พอเราขับมาแล้วนี่ เราก็มาศึกษาธรรม ศึกษาธรรมเพราะอะไร เพราะเรามีบุญของเรา มีบุญของเราตรงไหน

บางคนบวชเพราะโดนบังคับ บางคนบวชเพราะเราพอใจอยากจะบวช แต่บางคนนะ บางคนเราได้รับปัญหาเยอะมาก อยากบวชๆๆๆๆ พ่อแม่ไม่ให้บวชนะ พวกที่อยากบวชคืออยากพ้นทุกข์ไง พอเขาไปมีเหตุการณ์บีบคั้นในสังคม ในทางโลกของเขา เขาเห็นว่าเรื่องนี้ดิ้นรนไปให้ถึงที่สุดแล้วนะ มันก็เป็นสมบัติสาธารณะ ดิ้นรนถึงที่สุดแล้วน่ะเป็นสมบัติของใคร

เขาเห็นคุณงามความดีของจิตของเขา เขาก็อยากจะบวชตอนนี้ แต่เขาบวชไม่ได้เพราะเขาต้องมีเรื่องรับผิดชอบ แม่แก่เฒ่า แม่คนเดียว เขาดูแลกันมาตลอด นั้นเขามีโอกาสของเขา ถ้าเขาภาวนาของเขา เขาทำใจของเขา มันถึงมีหน้าที่นะ เพราะของอย่างนี้ถ้ามันเป็นจริงได้..

พระกัสสปะเป็นลูกชายคนเดียว พ่อแม่อยากให้มีครอบครัวมาก แต่ไม่อยากมีเลย อยากจะบวช แต่ด้วยคิดถึงความกตัญญูกตเวทีของพ่อแม่ บุญคุณของพ่อแม่ ยอม.. ก็ไปขอลูกสาวมา ลูกสาวก็มีความคิดเหมือนกันเลย อธิษฐานเลยว่าเราแต่งงานกันแต่เราจะไม่มีเพศสัมพันธ์กัน เอาดอกกุหลาบหรือดอกอะไรจำไม่ได้ อยู่ในพระไตรปิฎก เอาวางไว้อยู่ตรงกลาง ว่าเราจะอยู่ด้วยพรหมจรรย์ รออย่างนั้นน่ะ รอจนพ่อแม่แก่เฒ่า อุปัฏฐาก จนพ่อแม่ตายหมดนะ

พอพ่อแม่ตายหมดรับสมบัติน่ะจะกลายเป็นเศรษฐีนะ.... แจกๆๆๆๆๆ พอ ๒ คนรับมรดกแล้วนะ เราตกลงกันว่าจะแจกให้หมดเลย แจกไปหมดเลยนี่ สามีคือพระกัสสปะก็ออกบวช ภรรยาก็ออกบวช ออกบวชแล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนถึงที่สุดพระกัสสปะเป็นผู้ทำสังคายนา พระกัสสปะ เป็นผู้เฒ่าเห็นไหม เวลาอายุ ๘๐ ถือธุดงควัตร

“กัสสปะเอย...เธอก็มีอายุปานเรา เธอก็เป็นพระอรหันต์แล้วทำไมต้องถือธุดงค์อยู่ล่ะ”

พระกัสสปะบอกพระพุทธเจ้าเลยนะ

“ข้าพเจ้าถือไว้เพื่อเป็นคติ เพื่อเป็นแบบอย่างของอนุชนรุ่นหลัง”

ได้เป็นเอตทัคคะในทางด้านธุดงควัตรนะพระกัสสปะนี่ นี่ไง เวลาคนเขาอยากบวช อยากบวชนะ แต่เขายังไม่ได้บวชเพราะเขายังไม่ได้ศึกษา แต่ถ้าเราศึกษา เราเข้าใจของเราแล้ว ในสมัยพุทธกาลก็มีอย่างนี้ มีคนที่อยากจะบวชมากแล้วไม่ได้บวช แล้วมีคนพยายามทรงความศรัทธาของตัวเองไว้ พยายามทรงศรัทธาไว้ถึงที่สุด จนอุปัฏฐากพ่อแม่ จนพ่อแม่ตายหมดแล้ว พ่อแม่ตายหมดแล้วสุดยอดเลย เพราะพ่อแม่อบอุ่นกับลูกใช่ไหม ลูกก็มีสมบัติ ลูกก็มีครอบครัว สมบูรณ์เต็มที่หมดเลย แต่ไม่รู้ว่าลูกนี่ฉลาดกว่า อยู่พรหมจรรย์ไง คือแต่งงานกัน แต่ถือพรหมจรรย์ด้วยกันทั้งคู่

พรหมจรรย์หมายถึงว่าศีล ๕ คือมีครอบครัวได้มี กาเม สุมิจฉาจาร ถือศีล ๘ คือพรหมจรรย์ ไม่มีเพศสัมพันธ์ ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น อยู่จนพ่อแม่ตายหมด พ่อแม่ตายหมดด้วยความสุข พ่อแม่ก็ได้บุญกุศลไป เพราะตายด้วยความสุขใช่ไหม เราเวลาตายด้วยความสุขใช่ไหม ตายด้วยคุณงามความดี อู้ฮูย...ไปแล้วสุขสบาย

ถ้าตายด้วยความเครียด ตายด้วยความวิตกกังวล ตายด้วยความทุกข์ จิตใจมันหนักนะ วิตกกังวล ทุกข์ เวลาโมโห จิตใจเราหนักไหม เปรียบเหมือนก้อนหินเลย โยนลงน้ำไป ต๋อม... ถ้าจิตใจเรามีความสุขนะ เปรียบเหมือนปุยนุ่นเลย เป่าลอยขึ้นเลย จิตใจคนน่ะวัดได้เลย วัดที่ความรู้สึกอันนี้ พอส่งพ่อส่งแม่เรียบร้อยหมดนะ แล้วแจกสมบัติหมดเลย พอแจกสมบัติหมดแล้วก็ออกบวช

ในสมัยปัจจุบันเรา ในวงการกรรมฐานของเรานี่ก็มีหลวงปู่พรหม หลวงปู่พรหมเป็นนายฮ้อย นายฮ้อยทางภาคอีสานหมายถึงพ่อค้าใหญ่ นายฮ้อยหมายถึง ต้อนโค ต้อนควาย มาขายทางภาคกลาง มีสมบัติมหาศาลเหมือนกัน แล้วออกบวชเหมือนกัน หลวงปู่พรหมนี่

คำว่า เราเทียบยกพระกัสสปะในสมัยพุทธกาล ก็มีคนมีความรู้สึก มีความนึกคิดอย่างนี้ ในสมัยปัจจุบันก็มี แต่ในสมัยปัจจุบันก็มีหมายถึงว่าผู้ที่มีความมั่นคงนะ แล้วเวลาบวชไปแล้ว เวลาเราอยู่ทางโลก เราใช้ชีวิตปกติธรรมดา เวลาบวชไปแล้วเรามีธรรมวินัยนะ เรามีกฎกติกานะ เราทำสิ่งใด มีกฎกติกาขึ้นมา

ดูสิ ยกตัวอย่างนะ อาจารย์สิงห์ทอง ท่านเป็นคนที่แบบว่านักเลงมาก แล้วเวลาบวชขึ้นไปน่ะ ญาติบอกว่าบวชไม่ได้หรอก ญาติก็ท้าทายกัน บอกว่าถ้าบวชได้นะ ถ้าครบพรรษานะจะให้มาขี้ใส่ที่นอนเลย แล้วเวลาท่านบวชไปแล้วนะ ท่านก็อยู่แค่พรรษาเดียวนะ สวดมนต์ สวดพร นี่ท่านเล่าในประวัติของท่านเอง ท่านเล่ากับลูกศิษย์ลูกหาของท่านมา เวลาสวดมนต์ทำวัตรจิตมันลงหมดนะ เวลาทำวัตร จิตมันลงเป็นสมาธิ โอ๋... มีความสุขมาก

คิดดูสิ เราทำภาวนาเกือบตายยังไม่ได้เลย เรานั่งกันเกือบเป็นเกือบตายนะ จิตเคยสงบบ้างไหม ท่านสวดมนต์ก็ได้ ทำอะไรก็ได้ อู้ย...มันง่ายขนาดนี้ว่ะ ถ้ามันง่ายขนาดนี้นะ ปฏิญาณตนเลยน่ะ ปฏิญาณเลย ตั้งสัจจะเลย ถ้ามันง่ายแบบนี้ บวชตลอดชีวิต

พอบอกบวชตลอดชีวิตแค่นั้นน่ะ เกลี้ยงเลยนะ ! ทำอย่างไรก็ไม่ลง จิตอย่างไรก็ไม่ลง นี่ไง เราจะบอกว่าที่เราบวชขึ้นมาแล้ว พอจิตใจเราทรงศรัทธานี้ได้ในสิ่งต่างๆ มันจะดีมาก ที่นี้พอเราทำของเราขึ้นมา เวลาเรามีศรัทธามีความเชื่อต่างๆ มันจะมีความสุขนะ แต่พอเราตั้งกฎตั้งระเบียบขึ้นมา มันหมดเลยนะ

แต่ก่อนหน้านั้น เวลาตั้งกติกา เวลาสวดมนต์สวดพร มันเป็นกุศลนะ เวลาทำวัตร ท่านบอกทำวัตรจิตก็ลง ทำอะไรก็ลง จะทำอะไรมันก็ดีไปหมดเลย แล้วจิตมันลงนะ เวลาลงแล้วมันมีความสุขมาก เวลาเราทุกข์เราก็คิดมาก เราก็ทุกข์ยากใช่ไหม เวลาเราสบายใจ เราสบายใจไหม เวลาสบายใจไหมแล้วโล่งๆ นี่สบายใจไหม

แล้วสมาธิมันมีความสุขมากกว่านั้น สมาธิไม่ใช่สบายใจนะ สมาธิคือตัวมันเองปล่อยวาง ปล่อยวางภาระ ความคิด.. ความคิดเกิดจากจิต.. ความคิดเกิดจากจิต อย่างเช่น คลื่นหรือไฟฟ้า ไฟฟ้ามันเข้าไปในเครื่องใช้ไฟฟ้า มันจะใช้ประโยชน์ตามนั้น เข้าไปในหลอดไฟ เข้าไปในเครื่องกำเนิดต่างๆ

นี่เหมือนกัน พลังงานคือตัวจิต พอตัวจิตมีความคิด ความคิดก็ทำให้เราฟุ้งซ่าน พุทโธๆ พอจิตมันลงมันทิ้งหมดไง มันกลับมาเป็นพลังงานเพียวๆ ไฟฟ้าสถิตย์ มันไม่ใช่ไฟฟ้าที่เข้าไปในเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ กันไป เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่มันแสดงออกนั้นคือความคิดของเรา ความฟุ้งซ่านของเรา ขณะสวดมนต์มันลง พอมันลงนี้สวดมนต์ไม่ได้ พอลงแล้วมีความสุขมาก นี้คือตัวจิตไง ตัวจิตคือตัวที่เป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือตัวจิต

แต่ในปัจจุบันเราไม่มีสมาธิ เพราะว่าพลังงาน มันเข้ากับความคิดเราตลอดเลย ความคิดมันก็ปั่นป่วนตลอด เวลาท่านสวดมนต์ท่านลงได้ พอลงได้ตลอด โอ้โฮ...มันง่ายน่ะ ทั้งๆ ที่สมาธินี่ทำยากนะ สมาธินี้ทำยาก

ไอ้ที่ว่าสมาธิโดยปุถุชน สมาธิที่เรามีอยู่แล้วนะ สมาธิคือจิตตั้งมั่น สมาธิคือเรามีสติ มีสติแล้วเราควบคุมตัวได้คือสมาธินะ แต่สมาธิแบบนี้เป็นสมาธิแบบปุถุชน สมาธิแบบสามัญสำนึกไง

แต่ถ้าเป็นสมาธิในพุทธศาสนา สมาธิคือจิตมันปล่อยวาง มันจะมีความสุข พอมีความสุขเห็นไหม พอบอกว่า “ถ้ามันง่ายอย่างนี้ บวชตลอดชีวิตเลย” เพราะอยากสิ้นกิเลสเหมือนกัน พอถึงเวลานะมันต่อต้าน ท่านบอกว่าทำยากขึ้นมา แต่ถึงที่สุดแล้วท่านก็ทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านเสียชีวิตไปแล้ว เผาแล้วกระดูกท่านกลายเป็นพระธาตุ

คำว่า “พระธาตุ” นี่คือวัตถุ นี่คือผลการยืนยัน แต่หัวใจของท่านสำคัญกว่า นี่พุทธศาสนา ความเสมอภาค ความเป็นต่างๆ แล้วถึงที่สุดแล้วจิตเป็นหญิงเป็นชาย คำว่า “จิตเป็นหญิงเป็นชาย” มันเป็นสมมุติ อย่างเช่น สมมุติมนุษย์เรานี่เวลาปฏิบัติกันนะ นั้นสักแต่ว่า โน่นก็ไม่ใช่เรา นี่ก็ไม่ใช่เราน่ะ

ใช่ ! แต่ถ้าคนที่เริ่มจากการปฏิเสธเลย มันจะไม่ได้สิ่งใดเลย เริ่มต้นมันต้องมีหลักมีเกณฑ์มีหลักมีฐานก่อน หลักฐานของเราเห็นไหม เช่น นั่นว่าเป็นพระไหม.. เป็น ! เราบอกว่าเป็นพระสักแต่ว่าสิ สักแต่ว่าเป็นพระทำอะไรก็ได้ตามสบายใจ มันจะได้ไหมล่ะ แต่เขาอ้างว่า “พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น”

พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น เพราะจิตใจของคนมันสมควรที่จะเป็นอย่างนั้น พอสมควรพระพุทธเจ้าถึงสอนอย่างนั้น เพราะเขามีหลักมีเกณฑ์ของเขา คือจิตเป็นสมาธิ จิตมีปัญญาของเขา ถึงที่สุดพระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้นปั๊บ ถ้าจิตมันพิจารณาตาม มันปล่อย มันปล่อยขึ้นมามันถึงเป็นประโยชน์

แต่ถ้าจิตของเรา พอคำว่า “สักแต่ว่า” สักแต่ว่าเป็นเรื่องข้างนอกนะ แต่จิตของเรานี้ขุ่นมัว แล้วจิตของเราขุ่นมัว มันจะสักแต่ว่าได้ไหม ไม่ได้หรอก ! มันเหมือนกับเราเป็นหนี้ แล้วบอกว่า สักแต่ว่า ไม่มีหนี้กัน มีใครยอมไหม มีใครยอมมั่ง ฉันเป็นหนี้.. หนี้นี้เป็นสักแต่ว่านะ ขอให้ยกเลิกกันไป มันเป็นไปไม่ได้

ทีนี้คำว่า “สักแต่ว่า” ของพระพุทธเจ้านะ เราเป็นหนี้ แต่เราใช้หนี้ เราใช้หนี้ด้วยอะไร เราใช้หนี้ด้วยปัญญาของเราไง ด้วยสติปัญญาของเรา แล้วมันเข้าไปบริหารจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้นะไอ้ตัวพลังงานนั้นน่ะ ถึงตัวพลังงานที่ว่ามันไม่เข้าไปในความคิด พลังงานนี้ไม่เข้าไปในเครื่องใช้ไฟฟ้า เวลาเข้าไปในเครื่องไฟฟ้านี่มันเป็นกิเลสหยาบๆ

แต่พอมันปล่อยหมดแล้ว เป็นตัวของจิตน่ะ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส.. จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส พลังงานเพียวๆ ที่สะอาดๆ นี่ตัวอวิชชา

ตัวมันเองก็ยังข้องตัวมันเองอยู่ ฉะนั้นพอตัวมันเองข้องตัวมันเองอยู่ จะทำลายตัวมันเองอย่างไร พอเข้ามาทำลาย ถ้าเวลามันเข้ามาทำลายตัวมันเองนะ จะต้องเข้ามาทำลาย ถ้ามันไม่เข้ามาทำลายตัวมันเองมันเป็นภวาสวะ มันเป็นภพ ไฟฟ้ามีไหม.. มี ! ความรู้สึกมีไหม.. มี ! พอมีแล้วทำอย่างไรต่อ มีแล้วเราจะไปไหนล่ะ มีแล้วเราก็ไปเกิดไง

แต่ถ้าทำลายไฟฟ้าหมดเลย ทำไมล่ะ ทำลายหมดเลย ทำลายหมดแล้วก็มีน่ะ ทำลายแล้วก็มี มีอะไร.. มีธรรมธาตุ มีสัจธรรมที่ว่า ไม่ใช่สักแต่ว่า ! อะไรก็สักแต่ว่า ๆ สักแต่ว่า น่ะ

เวลาพวกเราอ้างกันนะ อ้างว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น.. พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้นคือสอนผู้ที่มีวุฒิภาวะที่มีปัญญา แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนทั่วไปไง แม้แต่ในสังคมโลกนะ ไม้ขีด ปืน มีด ต้องเก็บไว้พ้นมือเด็ก บอกว่า อ้าว... สิทธิเสมอภาค ปืนไว้ไหนก็ได้ ปืนโยนทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้ เด็กมันจับมันเล่น มันก็เสียหายหมดน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน สักแต่ว่า สักแต่ว่าของใคร นี่เวลาเขาอ้างพระไตรปิฎก อ้างต่างๆ อ้างสิ่งนั้นมา คำว่า “อ้างพระไตรปิฎก” ศึกษามาไม่ได้ศึกษามาเพื่อเป็นสมบัติของเรา จะอ้างอิงเพื่อเปรียบเทียบ แต่ถ้าศึกษาว่ามันเป็นอย่างนั้น เราต้องทำอย่างนั้น เราเป็นอย่างนั้นหรือยัง จิตใจเราพร้อมอย่างนั้นแล้วหรือยัง

เวลาเรามาปฏิบัติเราต้องมีศีล ศีลคือความเป็นปกติของใจนะ ถ้าเราไม่มีศีล คนที่เข้มแข็งไม่มีศีลเขาก็ทำสมาธิได้นะ พอเขาทำสมาธิได้นะ จิตเขามีพลังงาน เขาทำความชั่วได้นะ อย่างเช่น พวกคุณไสยต่างๆ การกระทำต่างๆ มันต้องใช้สมาธิ ถ้าไม่ใช้สมาธินะมันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์

แต่ถ้าเป็นเรื่องสมาธิ มันเป็นเรื่องของนามธรรม พอเป็นเรื่องนามธรรมมันเกี่ยวกับอะไร เกี่ยวกับนามธรรมในใจของเรา มันทำลายคนอื่นได้นะ แต่ถ้ามีศีลทำอะไรไม่ได้นะ ถ้ามีศีลนะ ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะมีศีลที่สะอาดบริสุทธิ์มันถึงเกิดสัมมาสมาธิ พอเกิดสัมมาสมาธิมันเป็นฐาน มันเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา ถ้าปัญญาอย่างนี้เกิดโลกุตตรปัญญา มันไม่ใช่ปัญญาสมองที่เราคิดกันอยู่อย่างนี้หรอก ถ้าไม่ใช่ปัญญาสมองอย่างที่เราคิดอย่างนั้น แล้วปัญญามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ปัญญาอย่างนั้นมันเกิดได้

ความร้อน น้ำร้อน น้ำเย็น เราจะรู้อุณหภูมิว่าร้อนหรือเย็น เพราะเราได้สัมผัส ถ้าเราได้สัมผัสมันก็อยู่ในภาชนะ เราจะรู้ได้ว่ามันร้อนหรือมันเย็น น้ำก็คือน้ำ นี่ก็เหมือนกัน จิตเราน่ะมันสัมผัส จิตเรามันรับรู้ ถ้าจิตเราสัมผัสจิตรับรู้แล้วเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก จิตรับรู้นะ ถ้าจิตมันเป็นสมาธิมันจะรู้ว่าเป็นสมาธิ มันจะร่มเย็นขนาดไหน แล้วสมาธิแก้กิเลสได้ไหม พอมีสมาธิเราก็ติดสมาธิของเรา โอ่.. สมาธิมีความร่มเย็นมาก นี่คือนิพพานๆ ทุกคนติดหมด แต่พอมันเสื่อมล่ะ อ้าว.. นิพพานกูทำไมมันเสื่อมวะ

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันมั่นคงขึ้นมาแล้ว มันก็เสื่อมสภาพไปตามธรรมดา เพราะพลังงานไฟฟ้า ดูสิ มันต้องใช้หมดไปทั้งนั้นน่ะ แต่ที่ไม่หมดไปเพราะเขาต้องมีการผลิตไฟฟ้า ไฟฟ้าฝ่ายผลิตเขาต้องผลิตไฟฟ้า เขาต้องมีการสร้างพลังงานตลอดเวลา

แต่ตัวจิตล่ะ ตัวจิตมันเป็นสันตติ สันตติเขาบอกชีวิตเป็นดวงๆ ไม่มีหรอก ! จิตเป็นดวงเดียว สันตติ ไฟฟ้านี่ ฝ่ายผลิตเขาต้องผลิตพลังงานขึ้นมา แต่สันตติมันเกิดทับซ้อนกันตลอดไง มันก็เป็นพลังงานขึ้นมา พอเป็นพลังงานขึ้นมาปั๊บ ตัวนี้ตัวจิตเดิมแท้

ตัวจิตเดิมแท้จิตเป็นหญิงหรือเป็นชาย.. ไม่มี ! ทำสมาธิไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวบุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มันเป็นสากลนะ สมาธิเป็นสากล ไม่แบ่งเพศ สมาธิไม่แบ่งเพศ ธรรมะก็ไม่แบ่งเพศ เพียงแต่ว่าเวลาปฏิบัติ เพศหญิงกับเพศชาย เห็นไหม

เวลาบวชเป็นภิกษุณี ภิกษุณีทำไมวินัยมากกว่าพระล่ะ ไปดูปาราชิกของภิกษุณีสิ แม้แต่รู้ความผิดของภิกษุณีด้วยกันแล้วไม่บอก.. ไม่บอก.. ต้องบอก ! ถ้าเราไปทำความผิดด้วยกัน ถ้าเราปิดบังเป็นสังฆาทิเสสหรือเป็นปาราชิกจำไม่ได้ ปาราชิก ๑๓ สังฆาทิเสสเท่าไหร่ไม่รู้ มีมากกว่าเพราะอะไร เพราะความอ่อนไหวของผู้หญิง ผู้หญิงมีความอ่อนไหวมาก ความอ่อนไหวมันจะทำให้จิตใจมั่นคงได้อย่างไร ทำจิตใจมั่นคงได้แต่มันก็มีความอ่อนไหว ข้อกรอบกติกามันถึงได้มีมากกว่าผู้ชาย

ผู้ชายเห็นไหม ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ มันมีน้อยกว่า ในพระไตรปิฎกบอกไว้หมด นั้นมันก็บอกมาให้เห็นถึงความเป็นไป ว่าถ้าเกิดเป็นหญิงเป็นชายแล้ว นี่มันเป็นผลของวัฏฏะ ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องน้อยใจ ผู้หญิงก็ทำได้ ผู้ชายก็ทำได้

ปัจจุบัน เขาพยายามดิ้นรนกันเพื่อจะไปบวชเป็นภิกษุณี บวชเป็นอะไรกันขึ้นมา ดิ้นรนไปเอาสถานะนะ แต่ความจริงคือตัวหัวใจนั้นมันทำให้สะอาดได้ เหมือนเราได้สถานะมา เป็นพระ มาบวชชั่วคราวเดี๋ยวก็สึกแล้ว ได้สถานะขึ้นมาแล้วจะทำประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหน นี่ได้สถานะขึ้นมาเราต้องแบกสถานะนั้นๆ สถานะคือสมมุตินะ

แต่ถ้าเราปฏิบัติปัจจุบันเราไม่ได้แบกสถานะ แล้วเราทำใจให้สะอาดเลย ในกรรมฐานเรา แม่ชีแก้วเป็นพระอรหันต์นะ เพราะเผาแล้วเป็นพระธาตุ แม่ชีก็เป็นพระอรหันต์ได้ แม้แต่ฆราวาสนะ ฆราวาสไม่ได้บวชก็เป็นพระอรหันต์ได้ พระเจ้าสุทโธทนะพ่อของพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ไม่บวชก็เป็นพระอรหันต์ได้

คนที่ไม่บวชแล้วเขาปฏิบัติดีกว่าเราก็มี เพราะฉะนั้นเขาถึงว่า “บวชใจ” เพราะคำว่าบวชใจ บวชใจแล้ว แต่เราบวชมาแล้วมันได้โอกาส มันมีวาสนานะ เพราะในพระไตรปิฎกว่า ภิกษุเป็นผู้ที่มีทางกว้างขวาง เพราะบวชมาแล้วเราภาวนาได้ ๒๔ ชั่วโมง ถ้าเรามีความมุ่งมั่น เรามีความจริงของเรา

ดูกรรมฐานเราสิ พรุ่งนี้เช้าบิณฑบาต บิณฑบาตฉันเสร็จขึ้นมาแล้ว ๒๔ ชั่วโมงเป็นโอกาสของเราหมดเลย แล้วพรุ่งนี้เช้าก็ได้โอกาสบิณฑบาตอีก มีฉันอีก คือพระไม่ต้องกังวลว่าเราจะต้องหาอยู่หากินไง เรามีบาตรเวลาบวช บริขาร ๘ นี่บาตรของใคร บาตรนี้คือข้าวนะ นี่สังฆาฏิของใคร นี่ผ้าของใคร ผ้าปัจจัย ๔ ไง มีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม มีกลดไว้ให้นอน มียารักษาโรค คือน้ำดองมูตรเน่า สมอ มะขามป้อม มันมีอยู่แล้วน่ะ

ทางของภิกษุมันกว้างขวาง แล้ว ๒๔ ชั่วโมงเราทำได้ตลอดเลย ไม่ต้องวิตกกังวลกับความเป็นอยู่เลย มีคนพยายามส่งเสริมเราตลอดเวลา แต่คฤหัสถ์คือทางคับแคบ ถ้าคฤหัสถ์คับแคบ คฤหัสถ์เป็นพระอรหันต์ได้ไหม.. เป็นได้ แต่ทางคับแคบ คับแคบคืออะไร โอ้โฮ.. เช้าขึ้นมาต้องไปทำงานนะ ตี ๔ ออกจากบ้านแล้ว โห.. กว่าจะทำงานเสร็จ กว่าจะกลับมา พอกลับมานะกินข้าวเสร็จเข้าห้องพัก ภาวนาครึ่งชั่วโมง นี่ทางคับแคบไง

ทางคับแคบเพราะอาชีพเขา เขาต้องแสวงหาเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย คนเกิดมาต้องมีปัจจัยดำรงชีวิต แต่มาบวชเป็นพระแล้วทางกว้างขวาง นี่คือโอกาสของเรา ได้โอกาสมาแล้วอย่านอนใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เพื่อพวกเรานะ

เวลาพระพุทธเจ้าเล็งญาณไง เวลาสำเร็จไปแล้วเล็งญาณ ประเพณีพระพุทธเจ้าทำอย่างไร พระสงฆ์บวชแล้วทำอย่างไร พระพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ให้เราประพฤติปฏิบัติ ให้เราเข้าถึงธรรม ให้เราเข้าถึงตัวของเราเอง แล้วจะไม่สงสัยคำว่า “จิตนี้เป็นหญิงหรือเป็นชายเลย” เพราะถ้ามันยังลังเลสงสัยอยู่ถึงที่สุดไม่ได้นะ ถ้าเราจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันตอบโจทย์ชีวิตนี้ได้หมดเลย มันตอบความรู้สึกเราได้หมดเลย

ถ้ามันตอบความรู้สึกของเราไม่ได้ สงสัยไหม.. สงสัยเป็นพระอรหันต์ได้ไหม.. ไม่ได้ ! ถ้ามีความสงสัย มีปมอยู่ในใจ สิ้นกิเลสไม่ได้ นั้นคือกิเลส

สิ้นกิเลสคือมันชำระล้างหมดเลย เข้าใจทั้งหมด ! ตั้งแต่ผลของวัฏฏะ ตั้งแต่พรหมลงมาเลย ทำไมถึงเป็นพรหม ! ทำไมถึงเป็นเทวดา ! ทำไมถึงเป็นมนุษย์ ! ทำไมถึงเป็นสัตว์ ทำไมถึงเป็นนรกอเวจี จิตนี้มันเป็นเพราะเหตุใด มันถึงเป็นไปตามนั้น !

แล้วแก้ไขได้ไหม แก้ไขได้ต่อเมื่อหมดอายุขัยของเขานะ ในวัฏฏะพรหมก็มีอายุขัย ทุกอย่างมีอายุขัย คือถ้าเขาสิ้นอายุขัย เขาหมดอายุคือเขาต้องตาย พรหมก็ตาย เทวดาก็ตาย ทุกคนตายหมด มีอายุขัยของเขาแล้วเปลี่ยนแปลงไป.. เปลี่ยนแปลงไป ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ แล้วถ้าเราสงสัยในวัฏฏะ เราก็เป็นผลของวัฏฏะ เราก็เกิดในวัฏฏะ แต่ถ้าเราทำถึงที่สุดแห่งทุกข์นี่เป็นวิวัฏฏะ พ้นออกจากวัฏฏะ พอพ้นออกจากวัฏฏะ มันก็จบสิ้นกระบวนการทั้งหมด จบสิ้นกระบวนการด้วยความรู้จริง

หลวงตาบอกว่า “เศรษฐีธรรม” เศรษฐีธรรมรู้ตามความเป็นจริง ถ้ารู้ตามความเป็นจริง มันมีสมบัติจากทางโลกมากเลย สมบัติทางโลกนะเป็นสมบัติสาธารณะ ผู้ที่เขามีประโยชน์ทางโลกเขาทำของเขา นั้นน่ะบุญกุศลของเขา ถ้าใครสร้างบุญกุศลมาก็ประสบความสำเร็จทางชีวิตนะ

พวกเรานี่ปากกัดตีนถีบ ดิบๆ สุกๆ เดี๋ยวก็ฟูเดี๋ยวก็แฟบ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา ชนชั้นกลางมาก แล้วชนชั้นล่างล่ะ ชนชั้นล่างของเขานี้พูดถึงความเป็นอยู่นะ แต่หัวใจล่ะ หัวใจถ้าเขามีคุณธรรมของเขา จะชั้นไหนฉันก็พอใจ ชั้นไหนฉันก็มีความสุข ความสุขคือความพอใจของเขา ถ้าเขาพอใจของเขา เขามีความสุขของเขา เขาไม่ต้องแบกรับภาระอย่างเรา คนที่มีภาระมาก รับมากก็เครียดมาก ทุกข์มากเป็นธรรมดา แต่ถ้าใจเป็นธรรมนะ สิ่งนี้มันเป็นเพื่อประโยชน์กับเรา

เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไฟไหม้บ้านใครเอาสมบัติออกจากบ้านได้มากน้อยขนาดไหน คือเราเอาออกจากบ้านได้นั้นคือสมบัติของเรา ไฟมันจะไหม้บ้านหมดไป ชีวิตนี้หามาเป็นของเรานะ แล้ววันเวลา กาลเวลาก็เผาชีวิตเราไป พอเราตายไปแล้วนะสมบัติก็เป็นของสาธารณะไง เราไม่ได้อะไรไปเลย

แต่ถ้าเราฝังดินนะ ฝังดินคือเราเสียสละ เราทำบุญกุศลเห็นไหม นั้นน่ะผลออกจากชีวิตเรา เวลาเราเสียสละไปแล้ว ขาดจากมือไปแล้วนี่เป็นของใคร ถ้าเป็นวัตถุเห็นไหม จากมือเราอยู่ เราเสียสละออกไป จากครูบาอาจารย์ก็ไปตกที่วัดที่วา เราก็เห็นของเรา

แล้วผลบุญล่ะ ผลบุญเห็นไหม ใจของผู้ที่เสียสละล่ะ นั้นล่ะมันจะตามตัวไป มันจะตามจิตนั้นไป ถึงบอกว่าสิ่งที่เป็นภาระ ถ้าใครรู้จักบริหารจัดการมัน มันเป็นประโยชน์ได้ แต่ถ้าไม่บริหารจัดการมันนะ ตายไปแล้วเป็นจิ้งจก ตุ๊กแกแม่งมาเฝ้าอยู่นั้นนะ ปู่โสมเฝ้าทรัพย์.. ปู่โสมเฝ้าทรัพย์เพราะมันห่วงนะ

หลวงปู่มั่นท่านขึ้นไปเชียงใหม่ ท่านก็นั่งภาวนาไปเห็นจิตวิญญาณเป็นเณรน้อยกับพี่สาว ทุกคืนเลยมาเดินวนอยู่ที่เจดีย์นั้นน่ะ ท่านเห็นอยู่หลายคืน สุดท้ายท่านก็ถามว่าทำไมมาเดินวนอยู่ที่นี่ล่ะ เณรน้อยกับพี่สาวตั้งใจจะสร้างเจดีย์กัน ที่นี้พอสร้างเจดีย์ไปแล้วมันยังไม่เสร็จ เป็นโรคระบาดแล้วตายทั้งคู่เลย พอตายทั้งคู่ก็ห่วงเจดีย์นั้น จิตวิญญาณนั้นก็เฝ้าอยู่นั้นน่ะ เดินอยู่นั้นน่ะ วิตกกังวลว่าสร้างยังไม่เสร็จ

หลวงปู่มั่นท่านสงสารนะ นี่พูดถึงในประวัติหลวงปู่มั่นก็มี ท่านเล่าสืบต่อกันมาในวงใน เทศนาว่าการ.. ภาษาเทศน์เห็นไหม มนุษย์พูดกับจิตวิญญาณอย่างไร พูดด้วยความรู้สึก ความคิดน่ะ ลองคิดสิ คิดเรื่องอะไรปั๊บ ความรู้สึกนี่เป็นภาษาจิต ภาษาใจ ภาษาใจน่ะ ฮึ.. นึกเอาเลย ทางนั้นก็รับรู้ๆ

ทำไม เจดีย์นี้ก็ได้สร้างแล้ว ก่ออิฐถือปูนมันก็เกือบจะเสร็จอยู่แล้ว มันก็ได้บุญกุศลแล้ว ในเมื่อถ้ายังสร้างไม่เสร็จ บุญกุศลได้เท่าไหร่ก็ควรได้เท่านั้น ถ้าไม่มีความวิตกกังวล บุญนั้นก็ได้แล้ว แต่บุญนั้นมันโดนความวิตกกังวลปิดไว้ เลยได้มาเกิดเป็นเปรตเฝ้าอยู่นี่ พอฟังเทศน์แล้วมันปลดวางใจได้ พอปลดวางใจได้ปั๊บก็ปล่อยวาง ปล่อยวางด้วยบุญนั้นน่ะไปเกิดเป็นเทวดาหมดเลย

พระอะไรที่ตัดจีวรเห็นไหม ได้จีวรมา สมัยโบราณนะ เวลาเราอ่านพระไตรปิฎกแล้ว เราจะเอาสมัยปัจจุบันนี้ไปเทียบไม่ได้ สมัยโบราณไม่มีโรงงานทอผ้า ไม่มีอะไรเลย เป็นเรื่องของธรรมชาติหมด ฉะนั้นพระองค์นั้นก็กลับบ้านไปแล้ว แล้วญาติพี่น้องก็ให้ผ้าฝ้ายมา ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบๆ มาถึงก็เอามาแกะแล้วมากรอใหม่ มาทอใหม่ เย็บใหม่ โอ้.. ทอสวยมาก เพราะมันมากรอใหม่ใช่ไหม พอเป็นผ้าขึ้นมาก็ตัด เพราะพระสมัยพุทธกาลตัดเย็บเองได้หมดน่ะ เพราะพอตัดเย็บเป็นจีวรเสร็จ โอ้โฮ.. มันมีความสุขน่ะ โอ้โฮ.. ผ้าสวย ผ้างาม คืนนั้นท้องร่วงตาย ด้วยความรักผ้าผืนนั้น มาเกิดเป็นเลนอยู่ในผ้านั้นน่ะ

ตามวินัยสงฆ์ ถ้าพระมีผู้อุปัฏฐาก ผู้ที่อุปัฏฐากพระองค์นั้น บริขารของพระที่ตายนั้นให้ได้แก่ผู้อุปัฏฐาก แต่พระองค์ไหนไม่มีผู้อุปัฏฐาก บริขารนั้นต้องเป็นของของสงฆ์ ถ้าตกเป็นของสงฆ์ ให้แจกกันภายในสงฆ์

ฉะนั้นพระองค์นี้ตาย มันยังไม่มีผู้อุปัฏฐาก ผ้าผืนนั้นก็เป็นของสงฆ์ พอเป็นของสงฆ์ สงฆ์ก็ประชุมกันว่าผ้าผืนนี้จะให้ใคร ที่นี้สมัยโบราณเขาไม่ฟุ่มเฟือยเหมือนที่ว่าผ้าเราเยอะแยะไปหมด ฉะนั้นถ้าแจกผ้าผืนนั้น...

นี่พระพุทธเจ้ารู้อนาคตังสญาณ.. พูดถึงว่าจิตที่สิ้นกิเลสแล้ว มันจะรู้เห็นไปหมด เข้าใจตามความเป็นจริง ถ้าแจกผ้าผืนนั้นไป พระองค์นี้ตายแล้วไปเกิดเป็นเลน เกาะอยู่ที่ผ้าด้วยความผูกพัน ถ้าแจกไปคนอื่นเอาไปใช้ มันจะมีความโกรธ เลนมีอายุแค่ ๗ วัน ถ้าเขาตายด้วยความโกรธอันนี้ เขาจะไปตกนรกเพราะด้วยความโกรธ

พระพุทธเจ้าบอกว่า “ให้พับผ้าผืนนี้ไว้ หรือตากไว้ตรงนั้นก่อน ใครห้ามแตะต้อง” พอห้ามแตะต้อง เลนนั้นมันก็อยู่กับผ้าผืนนั้นมันก็มีความสุข พอครบ ๗ วัน เลนก็ตาย พอเลนตายนะ เลนได้ไปเกิดบนสวรรค์ เพราะเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบพอสมควร

แต่เพราะด้วยความผูกพันต่อผ้าผืนนั้น เวลาตายแล้วไปเกิดเป็นเลนอยู่กับผ้าผืนนั้น พระพุทธเจ้าไม่ให้แจก ถ้าแจกเลนตัวนั้นตายแล้วจะลงนรกอเวจีด้วยความผูกโกรธ พระพุทธเจ้าไม่ให้แจก ให้เลนน่ะมีความสุขกับผ้าผืนนั้นจนเลนตัวนั้นหมดอายุขัย พอหมดอายุขัยปั๊บ เขามีความสุขของเขาแค่ ๗ วัน แล้วเขาก็ไปเกิดเป็นเทวดา

แล้วพระพุทธเจ้าก็ให้เอาผ้าผืนนั้นมาแจกกัน มันได้ประโยชน์ไปหมดเลย แม้แต่เจ้าของผ้าผืนนั้นพอตายแล้วไปเกิดเป็นเลนก็ยังมีความสุข แล้วยังได้ไปเกิดบนสวรรค์ได้อีก แต่ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ไปห้ามปราม เพราะพระเราน่ะ ปุถุชนน่ะ ตาเนื้อน่ะ ตามกฎหมาย ตามธรรมวินัย

อ้าว.. ก็พระตายไปแล้ว ของๆ นี่ก็ต้องเป็นของสงฆ์ ของสงฆ์ก็ต้องแจกกัน เราไม่เห็นนะว่าผลกระทบจากจิตวิญญาณเราไม่เห็นนะ เราไม่รู้ เราทำถูกต้องทำตามธรรมวินัย แต่พระพุทธเจ้าเห็นประโยชน์กับจิตดวงนั้น เห็นประโยชน์กับพระในนั้น เห็นประโยชน์กับทุกๆ อย่าง พอทำตามนั้นแล้วได้ประโยชน์หมดเลย

นี้พูดถึงเวลาสมบัติที่เรามี ถ้ามันเป็นประโยชน์มันจะเป็นประโยชน์ ถ้าไม่เป็นประโยชน์จะเป็นอย่างนี้ คนเราถ้าทำใจได้สิ่งนี้เราไม่ไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งนี้ เราหาเป็นผลประโยชน์เห็นไหม

ดูสิ เราพูดบ่อยเรื่องบิลเกตส์ เห็นน้ำใจเขา.. ๖๐,๐๐๐ ล้านเหรียญนะ ตั้งเป็นมูลนิธิ ไม่ให้ลูก บอกโรครวยมันจะทำร้ายลูกเรา โรครวย ! เพราะเด็กถ้ามันมีเงินขนาดนี้ ถ้าเด็กมันดีก็ดีไป ถ้ามันไม่ดีมันจะเสีย เพราะฉะนั้นเด็กนี่ให้ปัญญา ให้เขาเลี้ยงชีพของเขาเอง ๖๐,๐๐๐ ล้านเหรียญนะ เขามาตั้งเป็นมูลนิธิน่ะ

แต่มีคนมาย้อนกลับเราเยอะมาก ที่เราพูดคำนี้ “หลวงพ่อเขาขายคอมพิวเตอร์ขูดรีดมากเลย” อันนั้นมันเป็นธุรกิจของเขา แต่เวลาเขาได้มาแล้ว เขาไม่ถือเป็นสมบัติของเขา แต่ก็มีคนพูดมาอีก บอกว่า “หลวงพ่อตั้งเป็นมูลนิธิมันไม่ต้องเสียภาษี” เราก็จะไปคิดแต่ในแง่ลบของเขาไง เห็นเขาให้ ๖๐,๐๐๐ กว่าล้านเหรียญ มันก็ยังอิจฉาเขา แล้วถ้าเขาไม่ให้ก็.. เงินเนื้อๆ ของเขา เขาบริจาคได้โว๊ย ! พอเขาบริจาคได้ทุกคนก็จะหาแต่ข้อบกพร่องของเขา ว่าเขาหลบภาษีเอย ทำธุรกิจมาด้วยการขูดรีดเอย แต่เขาก็ให้ว่ะ เขาก็ให้ ๖๐,๐๐๐ กว่าล้าน เขาก็ให้.. เขาก็ให้ พูดถึงน้ำใจ นี่พูดถึงสมบัติ ถ้าเราหาว่าเป็นของดี ก็เป็นของดี นี่พูดถึงสมบัติทางโลกนะ

แต่ถ้าเราบวชแล้ว เราก็ต้องหาของเรา ภิกษุเห็นไหม หลวงปู่มั่น หลวงตาเล่าให้ฟัง หลวงปู่มั่นนิพพานนะ เงินสดในวัดมีอยู่ ๕๐๐ กว่าบาท ไม่มีอะไรเลย หลวงปู่มั่นตายนะในวัดไม่มีอะไรเลย แต่หลวงปู่มั่นก่อนที่ท่านตาย ในประวัติหลวงปู่มั่นท่านบอก ท่านไม่อยากตายที่นั้น เมื่อก่อนที่นั้นมันเป็นบ้านนอก มันไม่มีตลาด ถ้าคนเข้ามาแล้วน่ะมันต้องมีการฆ่าสัตว์ ท่านขอไปตายในเมือง เพราะในเมืองมันมีตลาด เพราะตลาดเขาฆ่าสัตว์เหมือนกัน นี่บางคนเขาคิดกันอย่างนั้น

แต่ไม่คิดเหมือนพระหรอก ไปตายในเมืองนี่ การฆ่าสัตว์นั้นมันไม่มีเจตนา การฆ่าสัตว์เพื่อเป็นงานเป็นกุศล เป็นบุญกุศลที่เราตั้งใจเราจงใจฆ่าเขา ! แต่สิ่งที่เขาฆ่ากันในตลาดนั้นมันเป็นธุรกิจของเขา คนเขาอยากมั่งมีศรีสุข คนเขาอยากมีเงินมีทอง เขาทำเพื่อธุรกิจของเขา แต่เราไม่มีเจตนา เราไปซื้อของที่เป็นเนื้อ ๓ อย่าง เราไม่ได้ยินว่าเขาฆ่าเพื่อเรา.. เราไม่ได้จงใจให้เขาฆ่าเพื่อเรา.. เนื้อ ๓ อย่างที่สะอาดบริสุทธิ์ เขาไม่ได้จงใจฆ่าให้เรา เราไม่รู้ไม่เห็น นี่ความสะอาดบริสุทธิ์

นี่ก็เหมือนกัน อู้ย.. ไอ้พวกมังสวิรัติไง บาปอยู่ที่คนทำ กรรมอยู่ที่คนกิน ถ้ายังกินเนื้อสัตว์อยู่แล้วมันยังมีแผ่เมตตาแล้วมันจะแผ่เมตตาได้อย่างไร แหม.. คิดแบบวิทยาศาสตร์ไง คิดคือยังเห็นอยู่ใช่ไหม แต่การกระทำมันเป็นเพราะความโลภของคน คนอยากมั่งอยากมีเขาก็ทำของเขา เขาอยากมีฐานะของเขา เขาก็มีอาชีพของเขา

เพราะอาชีพที่พระพุทธเจ้าสอนแล้วว่าให้เลือกเอาว่าอาชีพที่สะอาดบริสุทธิ์ก็มี อาชีพต่างๆ ก็มี ฉะนั้นเขาทำของเขาน่ะ พอหลวงปู่มั่นไปตายที่วัดป่าสุทธาวาส ในตลาดสดเขามีคนขายของเขา ใครอยากได้บุญได้กรรม ใครอยากได้สิ่งใด ก็แสวงหาเอาตามแต่สิทธิเสรีภาพ นี่ไงท่านถึงไปตายที่สกลนคร

แต่เวลาท่านตาย หลวงตาบอกเลย หลวงปู่มั่นตาย เงิน ทรัพย์สมบัติในวัดมีอยู่ ๕๐๐ บาท เราจะบอกว่าสมบัติของพระคือธรรมวินัย สมบัติของพระคือศีลธรรม สมบัติของพวกเราคุณงามความดี อยู่ที่ศีลธรรมของเรา.. อยู่ที่ศีลธรรมจริยธรรมของเรา ไม่ได้อยู่ที่วัตถุ โลกเขาแข่งขันกันด้วยวัตถุ เวลาเขาไปวัดกัน วัด ด. เด็กไง แต่วัดป่าวัดกรรมฐานนี่ วัตรคือข้อวัตรปฏิบัติ วัตรคือสิ่งที่ทำความสะอาดต่างๆ นี่คือข้อวัตร วัตรของเราน่ะคือพฤติกรรม คือความประพฤติ คือการกระทำของเรานี่คือวัตร

แต่ถ้าทางโลกนะ วัดนะ วัดก็ปูนน่ะ วัดก็อิฐใส่หินปูนเหมือนกัน แล้วเวลาบ้านทำไมเขาไม่เรียกว่าวัดล่ะ เดี๋ยวนี้บ้านสร้างเหมือนวัดเยอะแยะไป ทรงไทยเหมือนวัดหมดเลย แล้วเอาตรงไหนเป็นวัดล่ะ แล้วเวลาวัดร้างขึ้นไปล่ะ วัดร้างไปแล้วมันเหลืออะไรล่ะ ทุ่งนาน่ะเขารุกที่วัดร้างเห็นไหม แล้ววัดร้างอยู่ไหน วัดก็เป็นสมมุติทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้าวัตรปฏิบัติของเราน่ะ มันจะสร้างคุณงามความดีให้เรา มันจะเป็นประโยชน์กับเรานะ ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา เราบวชเป็นพระแล้ว เราเอาทรัพย์ของเรา เวลาหลวงตาท่านพูดนะ “อยู่กับเราให้ได้คุณงามความดี” ท่านตบหัวใจตลอด คุณงามความดีเป็นนามธรรม เป็นความรู้สึก เป็นคุณธรรมเป็นความรู้สึกอยู่ในหัวใจ หัวใจเศร้าหมอง หัวใจแบกรับภาระ หัวใจที่มันทุกข์มันยาก กับหัวใจที่มันได้ละออกไป แล้วละแบบธรรมวินัย มันละโดยสมุจเฉทฯ

เวลาธรรมของพระพุทธเจ้านะ เป็นพระโสดาบันนะ เวลาฆ่ากิเลสน่ะ ตัดกิเลสน่ะมันดังแขนขาด คิดดูสิ คนตัดแขนทิ้งแล้วมันจะกลับมาต่อเชื่อมได้ไหม ความรู้สึก ความนึกคิดของเรา เราคิดว่ามันตัดไม่ได้ มันทำให้หายไปจากใจเราไม่ได้

แต่เวลามันชำระกิเลส สังโยชน์ ๓ ตัว สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส มันขาดไปจากใจ พระโสดาบันเห็นชัดเจนมากว่าเป็นพระโสดาบันอย่างไร เป็นพระสกิทาคามีอย่างไร เป็นพระอนาคามีอย่างไร เป็นพระอรหันต์อย่างไร มันสะอาดบริสุทธิ์ ด้วยการสมุจเฉทปหาน การตัดที่ไม่เป็นอกุปปธรรม อฐานะที่จะกลับคืนมา มันยิ่งกว่าการตัดของเรานะ

อย่างการตัดเพชรตัดพลอย ดูเขาเจียระไนพลอย มันเป็นวัตถุนะ แต่การสมุจเฉทปหานด้วยมรรคญาณ ชำระกิเลส มันตัด เราจะบอกว่า “ถึงจะเป็นนามธรรม แต่มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงที่จับต้องและพิสูจน์ได้” ไม่ใช่ว่า อู้ย.. เวลาทุกข์ยากว่าเป็นกิเลสตัณหา เวลาสบายใจนึกว่าเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่หรอก ! มันมีสังโยชน์ พอมีสังโยชน์มีการร้อยรัดจิตอยู่ จิตนี้มีสังโยชน์ร้อยรัดจิตอยู่ มันจะเวียนตายเวียนเกิดไปเป็นหญิงเป็นชายที่ว่านี่ไง มันก็จะไปเกิดเป็นชายเป็นหญิงต่อไป

แต่ถ้าจิตมันชำระสะอาดแล้ว มันก็ไม่ใช่ชายและไม่ใช่หญิง แล้วมันก็ไม่ไปไหนอีกแล้วมันเป็นพลังงาน มันเป็นอกุปปธรรม มันเป็นอฐานะที่แปรสภาพ มันเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจเรา ที่เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พูดไปมันก็จะเสียเวลาเยอะ เนาะจะให้พูดไปอีกชั่วโมงก็จะพูดไปเรื่อยๆ มีปัญหาไหม ไม่มีเนาะ เอวัง